บทที่ 1 ส่วนที่ 2 การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
......นิทานเรื่องหลักสูตรสมัยหิน.....
ได้อ่านนิทานเรื่องหลักสูตรสมัยหิน สาระสำคัญจากการอ่านคือ
1.น่าสนใจแนวคิดของการจัดการศึกษาของคนในยุคค้อน โดยการเปรียบเทียบกิจกรรมของเด็กและผู้ใหญ่ ว่าเด็กทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสนุกสนาน แต่ผู้ใหญ่ทำกิจกรรมเพื่อการกินดีอยู่ดี และสร้างกระบวนระบบการศึกษา สร้างความกินดีอยู่ดี มีเครื่องนุ่งห่ม มีที่อยู่อาศัย จึงเป็นที่มาของวิชาที่ต้องเรียนในหลักสูตรสมัยยุคหิน
2.เพื่อตอบสนองปรัญญาแนวคิดของการจัดการหลักสูตรยุคค้อนใหม่ มีการจัดการเป็น 3 วิชา
คือ - วิชาจับปลาด้วยมือเปล่า เป็นการเรียนเพื่อหาเนื้อสัตว์มาบริโภค ฝึกให้มีความอดทน ว่องไว
- วิชาใช้กระบองทุบหัวม้าแกลบ เป็นการเรียนเพื่อใช้เนื้อและหนังของสัตว์มาทำเครื่องนุ่งห่ม ฝึกให้มีความแข็งแรง รวดเร็ว
- วิชาใช้ไฟไล่เสือ เป็นการเรียนเพื่อขับไล่ภัยอันตรายจากสัตว์ร้าย รวมทั้งฝึกความกล้าหาญ
3.ต่อมาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนเปลี่ยนไป สิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยจับปลามือเปล่าก็ใช้สวิงในการจับปลา มีการใช้แร้วดักเลียงผา และมีการขุดหลุมดักหมี ทำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ ที่ทำให้การดำรงชีวิตดีขึ้น มีวิชาใหม่เกิดขึ้น ซึ่ง 3 วิชานี้คือ อาชีพศึกษา ส่วน วิชาเดิม เรียกว่า การศึกษา เพราะเป็นการวางรากฐานที่ดีให้แก่เยาวชนของเผ่า
4.คำว่า อาชีวศึกษา = การศึกษา + อาชีพศึกษา โดยคำว่า การศึกษา หมายถึง สิ่งที่ได้เตรียมจัดให้ไว้กับผู้เรียนโดยมีวัตถุประสงค์และสาระที่ชัดเจนไม่เปลี่ยนแปลง
อาชีพศึกษา มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยตลอด เพราะ เป็นการให้ความรู้เพื่อนำมาหาเลี้ยงชีพซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามเทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้ในอาชีพนั้นๆ ส่วนการศึกษา มาจากคำว่า General Education ซึ่งก็คือ การศึกษาทั่วไป จำเป็นต้องมีปรากฎในทุกหลักสูตร หรือเรียกว่า Common Curriculum
5.คำกล่าวที่ว่า "แก่นแท้ของการศึกษาไม่มีวันล้าสมัย เปรียบประดุจผาหิน ซึ่งยืนตระหง่านได้อยากมั่งคั่งชั่วกาลนาน" จึงหมายความว่า การจัดการศึกษาสายอาชีพ มิใช่ให้เนื้อหาสาระหรือทักษะประกอบอาชีพเพียงอยากเดียว แต่หลักสูตรของการจัดการศึกษาสายอาชีพจำเป็นและสำคัญย่างยิ่งทุกหลักสูตร ต้องฝึกให้ผู้เรียนสามารถคิดเป็นเหตุเป็นผลได้ วางแผน แก้ไขปัญหา มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ซื่อสัตย์ เห็นแแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชนืส่วนตน สิ่งเหล่านี้ คือ แก่นแท้ของการศึกษา ที่ไม่มีวันล้าสมัยและหนักแน่น ดุจดังผาหินนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น